สะเดา นิยมมากที่สุด คือ ยอดและดอก สะเดาเป็นผักที่มีแคลเซียมสูงสุดเป็นอันดับ 3 มีธาตุเหล็กสูงสุดเป็นอันดับ 4 มีเส้นใยอาหารสูงเป็นอันดับ 3 และมีเบตาแคโรทีนสูงเป็นอันดับ 5 ในบรรดาผักทั้งหมด ทานเป็นผักช่วยให้เจริญอาหาร มีคุณค่าทาง โภชนาการ สูง
ยอดสะเดา 100 กรัม ให้พลังงาน 76 กิโลแคลอรี น้ำ 77.9 กรัม คาร์โบไฮเดรต 12.5 กรัม โปรตีน 5.4 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม มีกาก 2.2 กรัม แคลเซี่ยม 354 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 3,611 ไมโครกรัม วิตามิน B1 0.06 มิลลิกรัม วิตามิน B2 0.07 มิลลิกรัม วิตามิน C 194 มิลลิกรัม
น้ำปลาหวาน เครื่องจิ้ม รสชาติอร่อย กินกับผักสะเดาลวก สูตรปรุงน้ำปลาหวานทำอย่างไร อยากกินน้ำปลาหวาน หอมกลิ่นสมุนไพร สูตรเด็ด ส่วนผสมและขั้นตอนการทำ เข้าใจง่าย สำหรับคนรักการทำอาหาร มาลงมือทำกันค่ะ
ส่วนผสม
● น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วย
● น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
● เกลือ 1 ช้อนชา
● น้ำปลา 4 ช้อนโต้ะ
● หอมแดง ซอย 4 ช้อนโต้ะ
● หอมแดงเจียว 2 ช้อนโต้ะ
● พริกขี้หนูแห้งทอด 2-3 เม็ด
● พริกขี้หนูสวน สดซอย 5 ช้อนโต้ะ
● กุ้งแห้ง 3 ช้อนโต้ะ
● กุ้งแห้ง บดละเอียด 3 ช้อนโต้ะ
● สะเดา (ตามชอบ)
วิธีทำ
1. ต้มน้ำให้เดือด นำสะเดาลงไปต้ม ประมาณ 2 นาที จากนั้นนำขึ้นมาแช่ในน้ำเย็น พักไว้ก่อน รอทานกับ น้ำปลาหวาน
2. เตรียมเครื่องให้พร้อม หอมแดงซอย พริกสดซอย กุ้งแห้ง กุ้งแห้งบด น้ำตาลปี๊บ กะปิ น้ำปลา
3. เคี่ยว น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก เกลือ และ น้ำปลา กะปิ เคี่ยวให้ส่วนผสมละลายและเหนียว จากนั้นใส่ หอมแดง พริกขี้หนูสวน กุ้งแห้ง กุ้งแห้งบดลงไปเคี่ยวให้นิ่ม
3. เสิร์ฟน้ำปลาหวานใส่ถ้วย โรยหอมเจียว และพริกทอด ทานคู่กับ ผักสะเดาลวกหรือจะเพิ่มปลาย่างไปด้วยก็อร่อยอีกแบบนะคะ
เคล็ดลับความอร่อย
? การลวกผักสะเดา สำคัญที่ทำให้ผักน่ารับประทาน ให้ลวกด้วยน้ำเดือด โดยลวกไม่ต้องนาน จากนั้นนำไปแช่ในน้ำเย็นทันที จะทำให้ผักสด และสุกน่ารับประทาน
? การเคี่ยวน้ำตาล สำคัญต้องเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ หากเคี่ยวด้วยไฟแรง จะทำให้น้ำตาลไหม้ และมีกลิ่นไม่น่ารับประทาน
? ความอร่อยของน้ำปลาหวาน อยู่ที่รสชาติของ น้ำปลาหวาน ไม่หวานเกินไป มีรสเค็มตัด รวมถึงความหอมของหอมหัวแดง
⏩⏩ คิดว่าเมนูนี้น่าจะถูกใจทุกคนในครอบครัวจริงไหมค่ะ คุณแม่บ้านและคุณพ่อบ้าน ⏪⏪
อย่าลืมกดไลค์แฟนเพจกันด้วยนะคะ www.facebook.com/ข้าวหงษ์ทอง ใส่ใจสร้างสรรค์ข้าวคุณภาพ