บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง สานต่อ “โครงการหงษ์ทองนาหยอด” หวังลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและพัฒนาอาชีพชาวนาไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดร.วัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “ข้าวหงษ์ทอง” กล่าวว่า “ ชาวนาไทย” เป็นทั้งเพื่อนและครอบครัวคนสำคัญของบริษัท เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้มีอาชีพและรายได้ที่เติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา บริษัทได้ดำเนิน โครงการหงษ์ทองนาหยอด ในแหล่งปลูกข้าวตำบลโพนข่า จังหวัดศรีสะเกษ ผลวิจัยพบว่า โครงการนี้ สามารถยกระดับผลผลิตและสร้างรายได้ให้กับชาวนาได้ มากกว่าเดิมถึงเฉลี่ยไร่ละ 3-4 พันบาท

ดร.วัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด
ดร.วัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด

โครงการหงษ์ทองนาหยอด เป็นการปฎิวัติการทำนาหว่านแบบเดิมๆ สู่วิธีการปลูกด้วยวิธีนาหยอดแบบแห้ง สร้างผลผลิต และรายได้ที่มากขึ้น ซึ่งการปลูกข้าวแบบเดิม “นาหว่าน” ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวครั้งละ 25-35 กิโลกรัม เมื่อหันมาทำนาหยอด ก็ใช้ปริมาณเมล็ดพันธุ์ลดลง เหลือพียง 8-10 กิโลกรัมต่อไร่แล้ว ยังพบว่า การทำนาหยอด ต้นข้าวแตกกอได้ดีไม่เบียดแน่น ปริมาณข้าวออกรวงสูงเมล็ดเรียงสวยงาม มองเห็นต้นข้าวเรียงกันเป็นแถว ดูแลจัดการเรื่องแมลงและวัชพืชได้ง่ายขึ้น มีการวิเคราะห์ดินและสามารถลดปริมาณการใช้ปุ๋ย ประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งยาฆ่าแมลงและปุ๋ย

ดร.วัลลภ มานะธัญญา (ขวา)กับชาวนาที่เข้าร่วมโครงการหงษ์ทองนาหยอด ในพื้นที่ตำบลโพนข่า จังหวัดศรีสะเกษ
ดร.วัลลภ มานะธัญญา (ขวา) กับชาวนาที่เข้าร่วมโครงการหงษ์ทองนาหยอด ในพื้นที่ตำบลโพนข่า จังหวัดศรีสะเกษ

การทำนาหยอด ช่วยลดต้นทุนให้ชาวนาได้อย่างชัดเจน จากเดิมที่ต้องลงทุนราวๆ 3,060 บาทต่อไร่ ลดลงเหลือ 2,575 บาท ประหยัดต้นทุนการผลิตได้ลดลงประมาณ 16% และสามารถเพิ่มผลผลิตจากเดิม 451 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นเป็น 559 กิโลกรัมต่อไร่ หรือคิดเป็น 24% จากระยะแรกที่มีชาวนาเข้าร่วมโครงการหงษ์ทองนาหยอดเพียง 53 ราย พื้นที่ 573 ไร่ เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนชาวนาที่เข้าร่วมโครงการก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,086 ราย บนพื้นที่กว่า 40,000 ไร่ ขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวคุณภาพทั่วทั้งจังหวัดศรีษะเกษ อำนาจเจริญ และได้ไล่เรียงต่อยอดไปสู่จังหวัดอุบลราชธานีอีกด้วย

แม้กรรมวิธีการทำนาหยอดจะได้ผลและตอบโจทย์แก่เกษตรกรอย่างชัดเจน แต่ด้วยข้อจำกัดของข้าวหอมมะลิที่ปลูกได้เพียง 1 ครั้งต่อปี ทำให้ผืนนาต้องไร้ซึ่งผลผลิตไปกว่าครึ่งปี ส่งผลกระทบกับความเป็นอยู่ของเหล่าเกษตรกรโดยตรง ซึ่งในช่วงนอกฤดูการทำนานั้น บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด จะส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชที่เป็นที่ต้องการในท้องตลาด พร้อมจัดหาเมล็ดพันธุ์ สอนวิธีการ รวมไปถึงเป็นตลาดรับซื้อผลผลิตให้กับเกษตรกร อาทิ ปลูกแตงโม ฟักทอง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เป็นต้น

ดร. วัลลภ มานะธัญญา กล่าวต่อไปว่า “โครงการหงษ์ทองนาหยอดไม่ใช่แค่การเพิ่มผลผลิตที่เน้นปริมาณของข้าวเท่านั้น เรายังเน้นเรื่องคุณภาพของข้าว เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ 99% ที่เกษตรกรใช้ในโครงการถือเป็นคำตอบที่เราพยายามสร้างมาเกือบ 10 ปี ผลผลิตที่ได้จึงเป็นข้าวหอมมะลิคุณภาพดีมาก โดยเฉพาะข้าวล็อตแรกที่เราเรียกกันว่า ‘ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู’ เป็นข้าวที่มาจากโครงการหงษ์ทองนาหยอด ที่ปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์บริสุทธ์ ในแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ เป็นข้าวที่มีความเหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอม และรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ เรานำมาสีและบรรจุให้เร็วที่สุดเพื่อผู้บริโภคได้ทานข้าวหอมมะลิใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งรุ่นนี้เรามีจำนวนจำกัด จึงเรียกว่า ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู รุ่น Limited Edition มีเพียงเท่านี้หมดแล้วหมดเลย”

“การสร้างข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศได้ จึงเป็นรางวัลที่ดีที่สุด และบ่งบอกความสำคัญของโครงการนาหยอดได้เป็นอย่างดี”

“สำหรับบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด เรามีอัตลักษณ์ขององค์กร คือ ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มีน้ำใจ เราทุกคนถูกสอนให้ซื่อสัตย์สุจริต หากเราตกลงกับใครไว้เราก็ต้องทำให้ได้ แม้เราจะขาดทุนหรืออย่างไรก็ตาม เพราะนี่คือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบต่อคำมั่นสัญญา การดูแลชาวนาไทยไม่ได้เป็นการหยิบยื่นความหวังไปให้ แต่เป็นการสร้างความแข็งแรง ยั่งยืน ให้กับชาวนาไทย ให้เกิดจากภายในผืนนาของตนเอง ฟื้นฟูตัวเองเป็นกระดูกสันหลังที่แข็งแรง ช่วยให้ชาวนาไทยทุกคนได้ปลูกข้าวด้วยความภูมิใจอีกครั้ง” ดร. วัลลภ มานะธัญญา กล่าวทิ้งท้าย

*ข่าวจาก เทคโนโลยีชาวบ้าน ในเครื่อ มติชน จำกัด