“ทานน้ำตาลในปริมาณมากๆ มีผลเสียกับร่างกาย” ถามว่ามีใครไม่รู้บ้าง ทุกคนรู้ดีแต่มันติดไปแล้ว อยากเลิกแต่ทำไม่ได้ซักที… แค่คิดว่าต้องเลิกทานของหวานก็เครียดขึ้นมาทันที เอาแบบนี้ค่ะ ปีใหม่นี้เรามาลด-ละ-เลิก ติดหวานอย่างค่อยเป็นค่อยไป และถ้าใครมีเป้าหมายอยากลดน้ำหนัก นี่คือภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งของคุณ!
ถ้าเราทานน้ำตาลธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในอาหารที่ไม่ผ่านกรรมวิธีการผลิต เช่น น้ำตาลในผัก ผลไม้ ย่อมมีผลเสียกับร่างกายน้อยกว่าการทานน้ำตาลที่ถูกเติมลงไป ทั้งในเครื่องดื่ม ขนมหวาน เพื่อให้มีรสชาติถูกใจสาวสายหวานทั้งหลาย ถ้าเราทานเข้าไปทุกวัน ในปริมาณที่มากเกินไปย่อมเกิดผลเสียต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า โรคหัวใจ เสี่ยงมะเร็ง ไขมันพอกตับ หน้าแก่กว่าวัย ฯลฯ
ประเมินตัวเองก่อนว่า คุณติดหวานแล้วหรือไม่ คุณมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่หรือไม่?
- ต้องทานของหวานหลังมื้ออาหารทุกมื้อ
- รู้สึกอยากของหวานวันละหลายครั้ง
- ถ้าไม่ได้ทานของหวานจะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี
- ทานของหวานแทนมื้ออาหารหลักได้เลย
- ทานอาหารรสชาติจืดๆไม่ได้ ทานเครื่องดื่มที่ไม่หวานไม่ได้
ถ้ามีครบทั้ง 5 ข้อ มีความเสี่ยงว่าคุณจะติดหวานเข้าขั้นล่ะค่ะ คำแนะนำคือในแต่ละวันเราควรควบคุมการทานน้ำตาลให้ได้วันละไม่เกิน 6 ช้อนชา เริ่มต้นอย่าเร่งรีบด้วยการหักดิบ แต่ค่อยๆลด – ละ – เลิกอย่างค่อยเป็นค่อยไป มันจะไม่เครียด และไม่ได้ยากอย่างที่คิด
7 วิธีเลิกติดหวานแบบไม่เครียด
1. ลดการเติมน้ำตาลลงในเครื่องดื่ม โดยค่อยๆปรับเปลี่ยนการสั่งเครื่องดื่มในแต่ละสัปดาห์ เช่น ถ้าคุณสั่งกาแฟ…
สัปดาห์ที่ 1: “ขอลดหวานลงหน่อยค่ะ”
สัปดาห์ที่ 2: “ขอหวานน้อยค่ะ”
สัปดาห์ที่ 3: “ขอไม่หวานนะคะ”
สัปดาห์ที่ 4: “อเมริกาโน่ไม่ใส่น้ำตาลค่ะ”
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำหวานกระป๋อง น้ำผลไม้กล่อง แล้วจิบน้ำเปล่าอย่างต่อเนื่องตลอดวัน ก็ช่วยลดอาการอยากหวานได้
2. ลดขนมหวานบางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ที่ยิ่งทานยิ่งทำให้อยากของหวานมากขึ้น เช่น เค้ก ไอศกรีม คุ้กกี้ โดนัท ถ้ารู้สึกอยากทานจริงๆขอให้จำกัดปริมาณ เช่น ทานขนมหวานได้หลังมื้ออาหารกลางวัน 1-2 ช้อนเท่านั้น แล้วหันมาทานน้ำตาลจากผลไม้สดแทน หรือจะเป็นโยเกิร์ตเย็นๆ ทานคู่กับผลไม้หั่นชิ้นเล็กๆ ในช่วงบ่ายก็ให้ความสดชื่นได้ไม่แพ้กัน สำหรับบางคนที่ชอบดื่มกาแฟกับขนมหวาน ลองเปลี่ยนมาทานดาร์คชอคโกแลตซักชิ้น ก็ให้ความหอม แต่ไม่เพิ่มน้ำตาลได้เช่นเดียวกัน
3. ระวังอาหารที่แฝงมาด้วยน้ำตาล เช่น ซอสปรุงรส ซอสมะเขือเทศ น้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มไก่ น้ำสลัดต่างๆ ซึ่งล้วนมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบสูงมาก ถ้าอยากให้อาหารมีรสชาติขึ้น ลองเปลี่ยนมาทานกับพริกสดหั่นฝอย, โรยพริกไทยแทน หรือถ้าจะซื้อซอส หรือเครื่องปรุงรสต่างๆ ให้ดูที่สลากเขียนว่า “ไม่เติมน้ำตาล” ก็พอช่วยได้
ทราบหรือไม่คะ 1 วิธี “เลิกติดหวาน” คือต้อง “เลิกติดเค็มให้ได้” เพราะเมื่อเราทานเค็ม ทานอาหารรสจัด ร่างกายเราจะต้องการอาหารรสหวานจัดด้วยเช่นกัน ดังนั้นพยายามลดการปรุงอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน เพื่อคุณจะได้ไม่อยากขนมหวาน หรือเครื่องดื่มหวานๆปิดท้ายมื้ออาหาร
4. หันมาทานอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป (Whole food) เริ่มต้นที่ข้าวซึ่งไม่ผ่านการขัดสี หรือข้าวที่ผสมข้าวไม่ขัดสีหลากหลายชนิด ข้าวก่ำ ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ซึ่งมีไฟเบอร์สูง ประกอบด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ และที่สำคัญช่วยทำให้อิ่มท้องนาน ลดความหิวระหว่างมื้ออาหาร แล้วเพิ่มการทานผักใบเขียว ผักหลากสีสัน ผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง แก้วมังกร มะละกอ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เป็นต้น
5. ระวังความหวานปลอม หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพราะยิ่งทานเยอะก็จะส่งผลให้ร่างกายต้องการความหวานจากน้ำตาลมากขึ้น ร่างกายจะยังคงติดในรสชาติความหวาน และท้ายที่สุดก็ทำให้วนเวียนกลับไปหาน้ำตาลเหมือนเดิม สิ่งที่ดีที่สุด คือ ลดน้ำตาลลง ลดการทานอาหารที่มีรสชาติที่หวานจนเกินไป เพื่อลดการติดในรสชาติของหวาน เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ในที่สุด
6. อยู่ให้ไกลจากตัวกระตุ้นทั้งหลาย ไม่ซื้อ ไม่กักตุนอาหารที่ประกอบด้วยน้ำตาลสูงๆ ถ้ามีติดบ้านไว้เราก็มีโอกาสที่จะทานเวลาอยาก ดังนั้นในตอนที่มีสติ ขอให้เลือกซื้ออาหารที่ดี มีประโยชน์ จะได้ไม่พลั้งเผลอเอาของหวาน ขนมที่มีน้ำตาลสูงเข้าปากตามความเคยชิน หลีกเลี่ยงการดูรีวิวขนมหวาน ชานมไข่มุก เพราะยิ่งดู ก็ยิ่งอยาก
7. หาวิธีคลายความเครียด ยิ่งเครียด ยิ่งอยากหวาน ดังนั้นอยากเลิกติดหวาน ต้องเลิกเครียด ความเครียดทำให้ฮอร์โมนในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ร่างกายหิวน้ำตาล หลายคนเลยใช้เบเกอรี่ ชานมไข่มุก บิงซู ฯลฯ เป็นตัวเยียวยาแบบเห็นผลคลายเครียดทันที แต่หารู้ไม่ว่าการเยียวยาจิตใจด้วยอาหารที่มีน้ำตาลสูงบ่อยๆ เป็นตัวทำร้ายร่างกายไม่น้อย หาวิธีคลายความเครียดอื่นๆ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ พูดคุยกับเพื่อน ทำอาหารทานเอง ปลูกต้นไม้ เดินชอปปิ้ง ออกกำลังกาย เลือกกิจกรรมที่เหมาะกับตัวเอง จัดสมดุลชีวิตให้ดี น่าจะเป็นผลดีทั้งกาย และใจในระยาวมากกว่าค่ะ
ของหวาน ทานได้ เพราะมันช่วยให้เราชุ่มชื้นหัวใจ แต่เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว ควรทานอย่างมีลิมิด ชีวิตจะได้ไม่ติดหวาน คำอวยพรที่ดีที่สุดในปีใหม่นี้คือ “ขอให้เลิกติดหวานได้สำเร็จ!!!”
โค้ชบัว ลวัณรัตน์ รื่นบรรเทิง
เจ้าของเพจ และพ็อกเก็ตบุ๊ค “หุ่นสวยรวยสุข”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ปรับทัศนคติ และสร้างแรงบันดาลใจ