“ดูแลสุขภาพยังไง เมื่องานหนัก ไม่มีเวลา?”
2019 ตั้งเป้าหมายอะไรกันไว้บ้างคะ?
การลดน้ำหนัก และดูแลตัวเองยังคงเป็นหนึ่งในเป้าหมายยอดนิยม ถ้าเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของคุณ แต่ไม่มีเวลา งานเยอะ แถมเทศกาลรื่นเริงชวนให้บันเทิงปากบันเทิงใจไม่เว้นแต่ละเดือน ทำให้เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ไม่ค่อยคืบหน้าซักเท่าไหร่ บอกให้ดีใจว่ายังไม่สายที่จะเริ่มต้นค่ะ
เอาล่ะ ถ้าให้ตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย แล้วต่อด้วยยกเวทในตอนเย็นจะไหวกันไหมน้า?… อย่างที่เรารู้กันว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นเรื่องยากมากกกกในชีวิตที่แสนยุ่งของเรา ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุด คือ เลือกอาหารที่ทานให้ถูกต้อง ตั้งเป้าที่ 21 วันหรือเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น โฟกัสเรื่องเดียว!!! คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นั่นคือ ระบบการเผาผลาญ รวมถึงการขับถ่ายจะเปลี่ยนไป คุณจะรู้สึกได้ถึงความกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน มีชีวิตที่สดชื่น แจ่มใสมากยิ่งขึ้น แถมพ่วงด้วยรูปร่างที่สวยงามอีกด้วย
“5 หลักการทานอาหารให้สมดุล เพื่อรูปร่างที่สมส่วน”
1.ปรุงรสชาติอาหารไม่ให้เค็มจัด เปรี้ยวจัด หรือหวานจัดจนเกินไป เพื่อปรับการรับรสของลิ้นให้ไม่ติดในรสชาติไม่ให้เกิด “ความอยาก” เวลาเห็นอาหารที่มีรสชาติยั่วยวน หรือเกิดอาการ “หยุดไม่อยู่” ทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม (ถ้าลดรสชาติลงไม่ได้ = ลดความอยากอาหารไม่ได้) นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการบวมน้ำ จากการทานโซเดียมในปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกายทำให้ร่างกายกักน้ำเอาไว้อัตโนมัติ
2.ถ้าไม่มีเวลาทำอาหารด้วยตัวเอง ขอให้เลือกซื้ออาหารที่ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปทุกชนิด อาหารหมัก ดอง บรรจุกล่องสำเร็จรูปทั้งหลาย อาทิ ลูกชิ้น ไส้กรอก แฮม ไส้อั่ว บะหมี่สำเร็จรูป หมูยอ ขนมปังเบเกอรี่ น้ำหวาน น้ำผลไม้บรรจุกล่องที่เราไม่รู้แน่ชัดว่ามีอะไรผสม หรือเจือปนอยู่บ้าง ตัดใจโบกมือลากันไปก่อน
3.เลือกทานคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งที่ไม่ผ่านการแปรรูป ขัดสี ในมื้อเช้า และมื้อกลางวัน สามารถทานอาหารที่เป็นแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตได้ ถ้าเป็นข้าวขอให้เลือกข้าวไรซ์เบอร์รี่ หรือข้าวกล้อง เพราะมีคุณค่าอาหารสูง อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ขอให้ถือหลักที่ว่าข้าวต้องถูกต้องเป็นอันดับแรก ดังนั้นการหุงข้าวไรซ์เบอร์รี่พกใส่กล่องไปทำงานด้วย จึงเป็นความเก๋ที่น่าลงมือทำ ถ้าเป็นขนมปังก็เลือกแบบโฮลวีท เพราะแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสีจะช่วยทำให้อิ่มท้องนานกว่าข้าวขาว หรือขนมปังขาวโดยทั่วไป
4.เพิ่มการทานผักใบเขียวให้มากขึ้น ผักใบเขียวมีเส้นใยสูงช่วยให้อิ่มท้องได้เร็ว และนานขึ้น โดยเน้นสัดส่วนของผัก 50% ของอาหารในแต่ละมื้อสลับระหว่างผักสด และผักสุก และเพิ่มความสดชื่นด้วยความหวานตามธรรมชาติจากผลไม้แทนขนมหวานที่มีส่วนประกอบของแป้ง และน้ำตาล แต่ต้องเข้าใจว่าผลไม้ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักทุกชนิด บางชนิดยิ่งเพิ่มความอ้วน ผลไม้ที่น้ำตาลไม่สูงนัก อาทิ ชมพู่ ฝรั่ง แอปเปิ้ล แก้วมังกร ส้มโอ กล้วยน้ำว้า ฯลฯ
5.ใส่ใจในพลังงานแฝงของเครื่องดื่มทุกชนิด บางคนคิดว่าดื่มน้ำไม่อ้วน เลยจัดเต็มทั้งชานมไข่มุก กาแฟคาราเมล ชาเขียวปั่นใส่วิปครีม น้ำอัดลม แล้วต่อด้วยนมเปรี้ยว น้ำผลไม้ ฯลฯ ซึ่งให้พลังงานสูงพอๆกับการทานข้าวจานใหญ่ๆ ดังนั้นต้องระวังน้ำหวานทุกชนิดที่มีรสชาติความหวาน เพราะดื่มไปก็ไม่ได้ให้สารอาหารที่มีประโยชน์ ไม่อยู่ท้อง แต่อาจจะเพิ่มน้ำตาลให้ร่างกายโดยไม่รู้ตัว เปลี่ยนมาเป็นจิบน้ำเปล่าตลอดวันจะดีกว่า เพราะช่วยลดความหิว และกระตุ้นการเผาผลาญได้ด้วย
เคล็ดลับปิดท้ายของการทานอาหาร คือ “ทานช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด” เพื่อให้ปุ่มรับรสในปากได้รับรู้รสชาติอาหารอย่างแท้จริง และเพื่อให้เวลาสมองและกระเพาะได้สื่อสารถึงกัน คุณจะอิ่มท้องพอดีๆ ไม่อิ่มแน่นจนพุงกาง และสามารถปรับลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อให้ลดลงมีสมดุลกับการใช้พลังงานของร่างกาย
โฟกัสแค่เรื่อง “การทานอาหารให้ถูกต้องมีสมดุล” เพียงเรื่องเดียวก็สามารถทำให้ชีวิตและรูปร่างของคุณเปลี่ยนแปลงอย่างที่ตั้งใจไว้แน่นอน!
เขียนและเรียบเรียงโดย
โค้ชบัว ลวัณรัตน์ รื่นบรรเทิง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ปรับทัศนคติ และสร้างแรงบันดาลใจ
เจ้าของเพจ และพ็อกเก็ตบุ๊ค : “หุ่นสวยรวยสุข”
[leap_gap height=”20px” ]
อย่าลืมกดไลค์แฟนเพจกันด้วยนะคะ www.facebook.com/ข้าวหงษ์ทองไลฟ์ ข้าวอร่อยเพื่อสุขภาพ
เว็บไซต์หลักของเรา ข้าวหงษ์ทองไลฟ์ ข้าวอร่อยเพื่อสุขภาพ
[leap_gap height=”20px” ]